บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 4
วันจันทร์ ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559
ทฤษฎีการเคลื่อนไหว
ทฤษฎีการเคลื่อนไหวทางด้านร่างกายสำหรับเด็กปฐมวัย
ทฤษฎีการเคลื่อนไหวทางด้านร่างกายของอาร์โนลด์ กีเซลล์
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjLB38F_rFUD4M2dqILU7HsbHDGmEpsno5hfOt_l9uqpfFmTwmB-hG51_lqBT7L9BtszGVedHa2779P4FLzPqSV6dNrFP49DHzBE2d06XQPloMCsxiGBnpLpRGPpSQOdoBDbnSDfH9hZBBv/s1600/y-149.gif)
กีเซลล์ ได้แบ่งพัฒนาการเด็กออกเป็น
4 ด้าน ดังนี้
1.
พฤติกรรมด้านการเคลื่อนไหว เป็นความสามารถของร่างกายที่ครอบคลุมถึงการบังคับอวัยวะต่าง
ๆ ของร่างกายและความสัมพันธ์ ทางด้านการเคลื่อนไหวทั้งหมด 2. พฤติกรรมด้านการปรับตัว เป็นความสามารถในการประสานงานระหว่างระบบการเคลื่อนไหวกับระบบความรู้สึก เช่น การ ประสานงานระหว่างตากับมือ
3. พฤติกรรมทางด้านภาษา จะเป็นการแสดงออกทางหน้าตาและ
4. พฤติกรรมทางด้านนิสัยส่วนตัวและสังคม เป็นความสามารถในการปรับตัวของเด็ก ระหว่างบุคคลกับบุคคลและบุคคลกับกลุ่มภายใต้ภาวะ แวดล้อมและสภาพความเป็นจริง
ทฤษฎีการเรียนรู้ของบรูเนอร์ (Jerome
S. Bruner)
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiW8a-lUUqFQJr3_IvaMGhdGbrsU7KomtpDqorjDZhDkAEMOP-sJDTeHA0JM0Ialxl0i4wiTbdauhhn5zaR6iPcENLrjKX8q6-8AkFEIwe1Vu9U0N3Bi17eo_TsAOXO8FwRXajRCdeuWPEk/s1600/y-149.gif)
ทฤษฎีของบรูเนอร์เน้นหลักการ
กระบวนการคิด ซึ่งประกอบด้วย ลักษณะ 4 ข้อ
คือ
1.แรงจูงใจ
(Motivation)
2.โครงสร้าง
(Structure)
3.ลำดับขั้นความต่อเนื่อง
(Sequence)
4.การเสริมแรง
(Reinforcement)
บรูเนอร์แบ่งขั้นพัฒนาการการเรียนรู้ของมนุษย์ออกเป็น 3 ขั้น
คือ
1. ขั้นการกระทำ (Enactive
Stage) เด็กเรียนรู้จากการกระทำและการสัมผัส
2. ขั้นคิดจินตนาการหรือสร้างมโนภาพ
(Piconic
Stage) เด็กเกิดความคิดจากการรับรู้ตามความเป็นจริง
และการคิดจากจินตนาการ
3. ขั้นใช้สัญลักษณ์และคิดรวบยอด
(Symbolic
Stage) เด็กเริ่มเข้าใจเรียนรู้ความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง
ๆ รอบตัว และพัฒนาความคิดรวบยอดเกี่ยวกับ
สิ่งที่พบเห็น
ทฤษฎีสร้างสรรค์ของกิลฟอร์ด
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiW8a-lUUqFQJr3_IvaMGhdGbrsU7KomtpDqorjDZhDkAEMOP-sJDTeHA0JM0Ialxl0i4wiTbdauhhn5zaR6iPcENLrjKX8q6-8AkFEIwe1Vu9U0N3Bi17eo_TsAOXO8FwRXajRCdeuWPEk/s1600/y-149.gif)
Guilford (1967 : 145-151)
ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับองค์ประกอบของความคิดสร้างสรรค์ไว้ดังนี้
1. ความคิดริเริ่ม (Originality) หมายถึง
ความคิดแปลกใหม่ไม่ซ้ำกันกับความคิดของคนอื่น และแตกต่างจากความคิดธรรมดา
ความคิดริเริ่มอาจเกิดจากการคิดจากเดิมที่มีอยู่แล้วให้แปลกแตกต่างจากที่เคยเห็น
หรือสามารถพลิกแพลงให้กลายเป็นสิ่งที่ไม่เคยคาดคิด
ความคิดริเริ่มอาจเป็นการนำเอาความคิดเก่ามาปรุงแต่งผสมผสานจนเกิดเป็นของใหม่
ความคิดริเริ่มมีหลายระดับซึ่งอาจเป็นความคิดครั้งแรกที่เกิดขึ้นโดยไม่มีใครสอนแม้ความคิดนั้นจะมีผู้อื่นคิดไว้ก่อนแล้วก็ตาม
2. ความคิดคล่องแคล่ว (Fluency) หมายถึง
ปริมาณความคิดที่ไม่ซ้ำกันในเรื่องเดียวกัน โดยแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้
2.1 ความคล่องแคล่วทางด้านถ้อยคำ (Word Fluency) เป็นความสามารถในการใช้ถ้อยคำอย่างคล่องแคล่ว
2.2 ความคิดคล่องแคล่วทางด้านการโยงสัมพันธ์ (Associational
Fluency) เป็นความสามารถที่จะคิดหาถ้อยคำที่เหมือนกันได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ภายในเวลาที่กำหนด
2.3 ความคล่องแคล่วทางด้านการแสดงออก (Expression Fluency) เป็นความสามารถในการใช้วลีหรือประโยค
กล่าวคือ สามารถที่จะนำคำมาเรียงกันอย่างรวดเร็วเพื่อให้ได้ประโยคที่ต้องการ
2.4 ความคล่องแคล่วในการคิด (Ideational Fluency) เป็นความสามารถที่จะคิดค้นสิ่งที่ต้องการภายในเวลาที่กำหนด
เช่น ใช้คิดหาประโยชน์ของก้อนอิฐให้ได้มากที่สุดภายในเวลาที่กำหนดซึ่งอาจเป็น 5
นาที หรือ 10 นาที
3. ความคิดยืดหยุ่น (Flexibility) หมายถึง ประเภทหรือแบบของการคิดแบ่งออกเป็น
3.1 ความคิดยืดหยุ่นที่เกิดขึ้นทันที (Spontaneous Flexibility) เป็นความสามารถที่จะพยายามคิดได้หลายทางอย่างอิสระ
ตัวอย่างของคนที่มีความคิดยืดหยุ่นในด้านนี้จะคิดได้ว่าประโยชน์ของหนังสือพิมพ์มีอะไรบ้าง
ความคิดของผู้ที่ยืดหยุ่นสามารถจัดกลุ่มได้หลายทิศทางหรือหลายด้าน เช่น
เพื่อรู้ข่าวสาร เพื่อโฆษณาสินค้า เพื่อธุรกิจ ฯลฯ
ในขณะที่คนที่ไม่มีความคิดสร้างสรรค์จะคิดได้เพียงทิศทางเดียว คือ เพื่อรู้ข่าวสาร
เท่านั้น
3.2 ความคิดยืดหยุ่นทางด้านการดัดแปลง (Adaptive Flexibility) หมายถึง
ความสามารถในการดัดแปลงความรู้ หรือประสบการณให้เกิดประโยชน์หลายๆ ด้าน
ซึ่งมีประโยชน์ต่อการแก้ปัญหา ผู้ที่มีความยืดหยุ่นจะคิดดัดแปลงได้ไม่ซ้ำกัน
4. ความคิดละเอียดละออ (Elaboration) หมายถึง
ความคิดในรายละเอียดเป็นขั้นตอน สามารถอธิบายให้เห็นภาพชัดเจน หรือเป็นแผนงานที่สมบูรณ์ขึ้น
ความคิดละเอียดละออจัดเป็นรายละเอียดที่นำมาตกแต่ง
ขยายความคิดครั้งแรกให้สมบูรณ์ขึ้น
ทฤษฎีเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว
คือ เป็นความสามารถในการคิด จินตนาการ
ความคิดแปลกใหม่โดยอาศัยความคิดและประสบการณ์เดิมแล้วนำมาปรับปรุง
มีการคิดได้อย่างอิสระคิดอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
จะแสดงออกโดยการเคลื่อนไหวและออกแบบท่าทางต่างๆขึ้นมาตามความคิดของเด็กเอง เช่น
การที่เด็กจินตนาการคิดว่าตนเองเป็นผีเสื้อ
เด็กจะทำการคิดผ่านกระบวนการต่างๆแล้วแสดงออกมาเป็นท่าทางของผีเสื้อ เช่น
ผีเสื้อมีปีก ผีเสื้อต้องบิน เป็นต้น
ทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์ของทอร์แรนซ์
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgoWBP8lD2ZlcXOxudjzwYlPfu__u5vGgpqdJ6zqzeGMVG49GlZ0BydX_wsM54FmvZNcWHBTdwmaSx5eLG4cKaSXiN0dPbY0_qNSvfTUj5HWNnJwgZuJcaIav05XAd7PrDU2IXlLwJEre56/s1600/67.gif)
อี พอล ทอร์แรนซ์ (E. Paul Torrance) นิยามความคิดสร้างสรรค์ว่าเป็นกระบวนการของความรู้สึกไวต่อปัญหา หรือสิ่งที่บกพร่องขาดหายไปแล้วรวบรวมความคิดตั้งเป็นสมมติฐานขึ้น ต่อจากนั้นก็ทำการรวบรวมข้อมูลต่างๆ เพื่อทดสอบสมมติฐานนั้น
Torrance เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังท่านหนึ่งทางด้านความคิดสร้างสรรค์
ได้สร้างทฤษฎีและแบบทดสอบความคิดสร้างสรรค์ที่ใช้กันในหลายประเทศทั่วโลก
เขากล่าวว่า ความคิดสร้างสรรค์จะแสดงออกตลอดกระบวนการของความรู้สึกหรือการเห็นปัญหาการรวบรวมความคิดเพื่อตั้งเป็นข้อสมมติฐาน
การทดสอบ และดัดแปลงสมมติฐานตลอดจนวิธการเผยแพร่ผลสรุปที่ได้ความคิดสร้างสรรค์
จึงเปนกระบวนการแก้ ปัญหาทางวิทยาศาสตร์นั่นเอง และทอร์แรนซ์เรียกกระบวนการลักษณะนี้ว่ากระบวนการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรคค์หรือ “The creative problem solving process”
กระบวนการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์แบ่งออกได้
5 ขั้นตอนดังนี้
ขั้นที่ 1 การพบความจริง (Fact – Finding) ในขั้นนี้เริ่มตั้งแต่ความรู้สึกกังวล
มีความสับสน วุ่นวาย เกิดขึ้นในจิตใจ แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นอะไร
จากจุดนี้ก็พยายามตั้งสติ และหาข้อมูลพิจารณาดูว่าความยุ่งยาก วุ่นวาย สับสน
หรือสิ่งที่ทำให้กังวลใจนั้นคืออะไร
ขั้นที่ 2 การค้นพบปัญหา ( Problem – Finding) ขั้นนี้เกิดต่อจากขั้นที่ 1
เมื่อได้พิจารณาโดยรอบคอบแล้ว จึงเข้าใจและสรุปว่า ความสับสนวุ่นวายนั้นก็คือ
การเกิดปัญหานั่นเอง
ขั้นที่ 3 การตั้งสมมติฐาน ( Idea – Finding ) ขั้นนี้ต่อจากขั้นที่ 2
เมื่อรู้ว่ามีปัญหาเกิดขึ้นก็จะพยายามคิดและตั้งสมมติฐาน และรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ
เพื่อนำไปใช้ในการทดสอบสมมติฐานในขั้นที่ 3
ขั้นที่ 4 การแก้ปัญหา ( Solution – Finding) ในขั้นนี้จะพบคำตอบจากการทดสอบสมมติฐานในขั้นที่
3
ขั้นที่ 5 ยอมรับผลจากการค้นพบ ( Acceptance – finding) ขั้นนี้เป็การยอมรับคำตอบที่ได้จากการพิสูจน์เรียบร้อยแล้ว่าน่าจะแก้ปัญหาให้สำเร็จได้อย่างไร
แต่ต่อจากจุดนี้การแก้ปัญหาหรือการค้นพบยังไม่จนตรงนี้
แต่ผลที่ได้จากการค้นพบจะนำไปสู่หนทางที่จะทำให้เกิดแนวคิดหรือสิ่งใหม่ต่อไปที่เรียกว่า
New Challent
Torrance
ได้กําหนดขั้นตอนของความคิดสร้างสรรค์ออกเป็น 4 ขั้นดังนี้
1. ขั้นเริ่มคิด คือ ขั้นพยายามรวบรวมข้อเท็จจรงิ เรื่องราวและแนวคิดต่าง
ๆ ที่มีอยู่เข้าดัวยกันเพื่อหาความกระจ่างในปัญหา ซึ่งยังไม่ทราบว่าผลที่จะเกิดขึ้นนั้นจะเป็นไปในรูปแบบใดและอาจใช้เวลานานจนบางครั้งจะเกิดขึ้นโดยไม่รู้สึกตัว
2. ขั้นครุ่นคิด คือ
ขั้นที่ผู้คิดต้องใช้ความคิดอย่างแต่บางครั้งความคิดอันนี้อาจหยุดชะงักไปเฉยๆเป็นเวลานาน
บางครั้งก็จะกลับมาเกิดขึ้นใหม่อีก
3. ขั้นเกิดความคิด คือ ขั้นที่ความคิดจะมองเห็นความสัมพันธ์ของความคิดใหม่ที่ซ้ำกับความคิดเก่าๆซึ่งมีผู้คิดมาแล้ว
การมองเห็นความสัมพันธ์ในแนวความคิดใหม่นี้จะเกิดขึ้นในทันทีทันใด
ผู้คิดไม่ได้นึกฝันว่าจะเกิดขึ้นเลย
4. ขั้นปรับปรุง คือ ขั้นการขัดเกลาความคิดนั้นให้หมดจดเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจได้ง่ายหรือต่อเติมเสริมแต่งความคิดที่เกิดขึ้นใหม่นั้นให้รัดกุมและวิวัฒนาการก้าวหน้าต่อไป
ในบางกรณีก่อให้เกิดการประดิษฐ์ผลงานใหม่ๆทางวิทยาศาสตร์ นวนิยาย บทเพลง จิตรกรรม
และการออกแบบอื่นๆ เป็นต้น
ทฤษฎีเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว
ความคิดสร้างสรรค์ว่าเป็นกระบวนการของความรู้สึก หากเด็กรู้สึกอย่างไรก็จะมีการแสดงออกและเคลื่อนไหวออกมาแบบนั้น
เช่น เด็กฟังเพลงเด็กมีความรู้สึกที่ดีต่อเพลงๆนั้น
เด็กก็จะเคลื่อนไหวและแสดงออกมาตามบทเพลงที่เด็กได้ฟัง
ทฤษฎีการเคลื่อนไหวด้านสังคม
ทฤษฎีของอิริคสัน
อิริสันเป็นลูกศิษย์ของฟรอยด์ได้สร้างทฤษฏีขึ้นในแนวคิดของฟรอยด์
แต่ได้เน้นความสําคัญของทางด้านสังคม วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมด้านจิตใจว่ามีบทบาทในการพัฒนาการบุคลิกภาพมาก
ความคิดของอิริสันต่างกับฟรอยด์หลายประการ
เป็นต้นว่าเห็นความสําคัญของEgo
มากว่า Id
และถือว่าพัฒนาการของคนไม่ได้จบแค่วัยรุ่น
แต่ต่อไปจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต
ด้วยเหตุที่อิริสันเน้นกระบวนการทางสังคมว่าเป็นจุดกระตุ้นหล่อหลอมบุคลิกภาพ
เขาจึงได้เรียกทฤษฎีของเขาว่า เป็นทฤษฏีจิตสังคม
ทฤษฎีของอิริคสัน เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวอย่างไร
ตามทฤษฎีอาจกล่าวได้ว่าเด็กมักมีความเป็นตัวของตัวเองอย่างอิสระ
ต้องการที่จะเรียนรู้และทำอะไรด้วยตนเอง และในวัยนี้มักมีการเคลื่อนไหวจากการเล่น
ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญในการเรียนรู้ของเด็กวัยนี้
อัลเบิร์ต
แบนดูรา กล่าวว่า
การเรียนรู้ของมนุษย์นั้นเกิดจากพฤติกรรมบุคคลนั้นมีการปฏิสัมพันธ์ อย่างต่อเนื่องระหว่างบุคคลนั้น
และสิ่งแวดล้อม
ซึ่งทฤษฎีนี้เน้นบุคคลเกิดการเรียนรู้โดยการให้ตัวแบบ
โดยผู้เรียนจะเลียนแบบจากตัวแบบ
และการเลียนแบบนี้เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยอาศัยการสังเกตพฤติกรรมของตัวแบบ การสังเกตการณ์ตอบสนองและปฏิกิริยาต่าง ๆ
ของตัวแบบ สภาพแวดล้อมของตัวแบบ
ผลการกระทำ
คำบอกเล่า และความน่าเชื่อถือของตัวแบบได้ การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยจึงเกิดขึ้นได้
ซึ่งกระบวนการต่าง ๆ ของการเลียนแบบของเด็ก ประกอบด้วย 4 กระบวนการ
ทฤษฎีของอิริคสัน
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiIC1Vcm2EPCQoPCM7pRRaGlalnf0k_n2gG5TicMWhz4LxXuUBy12cqMBTY3-E4vdo2bK2ioPkidG37NCJleBlGV0lQVi3YIh9bEyEKJYofEYuCN-8EI9BIidXVgtuCEJ8FXd66S6aWKDII/s1600/y-149.gif)
อิริคสันได้แบ่งพัฒนาการของบุคลิกภาพออกเป็น
8 ขั้น ดังต่อไปนี้
ขั้นที่ 1 ขั้นความไว้วางใจ-ความไม่ไว้วางใจ
ซึ่งเป็นขั้นในวัยทารก
อีริคสันถือว่าเป็นรากฐานที่สำคัญของพัฒนาการในวัยต่อไป
เด็กวัยทารกจำเป็นจะต้องมีผู้เลี้ยงดูเพราะช่วยตนเองไม่ได้
ผู้เลี้ยงดูจะต้องเอาใจใส่เด็ก
ขั้นที่ 2 ความเป็นตัวของตัวเองอย่างอิสระ
– ความสงสัยไม่แน่ใจตัวเอง
อยู่ในวัยอายุ 2-3 ปี วัยนี้เป็นวัยที่เริ่มเดินได้ สามารถที่จะพูดได้และความเจริญเติบโตของร่ายกาย ช่วยให้เด็กมีความอิสระ พึ่งตัวเองได้ และมีความอยากรู้อยากเห็น อยากจับต้องสิ่งของต่างๆ เพื่อต้องการสำรวจว่าคืออะไร เด็กเริ่มที่อยากเป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเอง
อยู่ในวัยอายุ 2-3 ปี วัยนี้เป็นวัยที่เริ่มเดินได้ สามารถที่จะพูดได้และความเจริญเติบโตของร่ายกาย ช่วยให้เด็กมีความอิสระ พึ่งตัวเองได้ และมีความอยากรู้อยากเห็น อยากจับต้องสิ่งของต่างๆ เพื่อต้องการสำรวจว่าคืออะไร เด็กเริ่มที่อยากเป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเอง
ขั้นที่
3 การเป็นผู้คิดริเริ่ม – การรู้สึกผิด
วัยเด็กอายุประมาณ 3-5 ปี อีริคสันเรียกวัยนี้ว่าเป็นวัยที่เด็กมีความ คิดริเริ่มอยากจะทำอะไรด้วยตนเองจากจินตนาการของตนเอง การเล่นสำคัญมากสำหรับวัยนี้เพราะเด็กจะได้ทดลองทำสิ่งต่างๆจะสนุกจากการ สมมุติของต่างๆเป็นของจริงเช่นอาจจะใช้ลังกระดาษเป็นรถยนต์ขับรถยนต์ เหมือนผู้ใหญ่
วัยเด็กอายุประมาณ 3-5 ปี อีริคสันเรียกวัยนี้ว่าเป็นวัยที่เด็กมีความ คิดริเริ่มอยากจะทำอะไรด้วยตนเองจากจินตนาการของตนเอง การเล่นสำคัญมากสำหรับวัยนี้เพราะเด็กจะได้ทดลองทำสิ่งต่างๆจะสนุกจากการ สมมุติของต่างๆเป็นของจริงเช่นอาจจะใช้ลังกระดาษเป็นรถยนต์ขับรถยนต์ เหมือนผู้ใหญ่
***สามขั้นแรกเป็นขั้นพัฒนาการที่เกี่ยวกับเด็กปฐมวัย***
ขั้นที่
4 ความต้องการที่จะทำกิจกรรมอยู่เสมอ –
ความรู้สึกด้อย
ขั้นที่ 5 อัตภาพหรือการรู้จักว่าตนเองเป็นเอกลักษณ์
– การไม่รู้จักตนเองหรือสับสนในบทบาทในสังคม
ขั้นที่ 6
ความใกล้ชิดผูกพัน – ความอ้างว้างตัวคนเดียว
ขั้นที่
7 ความเป็นห่วงชนรุ่นหลัง –
ความคิดถึงแต่ตนเอง
ขั้นที่ 8 ความพอใจในตนเอง
– ความสิ้นหวังและความไม่พอใจในตนเอง
ทฤษฎีของอิริคสัน เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวอย่างไร
ทฤษฎีของอัลเบิร์ต แบนดูรา
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhdlv0FEBGkO7Xe9-vkxuxJ_Nxg7_ak8V0h-JsjyEKHrjn3kZY0foZNb9fbMgmZ0qGjl6IwV9E5xFyC3C4JQZ6184S_O6fpfTJQcUpnNOd887NYZ2k_Xe1e0T94fB3gz606B1Xk4FaFy5n-/s1600/y-149.gif)
1. กระบวนการดึงดูดความสนใจ
(Attentional
Process)
กิจกรรมการเรียนรู้ที่เด็กได้สังเกตตัวแบบ
และตัวแบบนั้นดึงดูดให้เด็กสนใจที่จะเลียนแบบ ควรเป็นพฤติกรรมง่าย ๆ
ไม่สลับซับซ้อน ง่ายต่อการเอาใจใส่ของเด็กที่เกิดการเลียนแบบและเกิดการเรียนรู้
2. กระบวนการคงไว้
(Retention
Process)
คือ กระบวนการบันทึกรหัสเป็นความจำ
การที่เด็กจะต้องมีความแม่นยำในการบันทึกสิ่งที่ได้เห็นหรือได้ยินเก็บเป็นความจำ
ทั้งนี้ เด็กดึงข้อมูลที่ได้จากตัวแบบออกมาใช้กระทำตามโอกาสที่เหมาะสม
เด็กที่มีอายุมากกว่าจะเรียนรู้จากการสังเกตการณ์กระทำที่ฉลาดของบุคคลอื่น ๆ ได้มากกว่า
โดยประมวลไว้ในลักษณะของภาพพจน์ และในลักษณะของภาษา และเด็กโตขึ้นนำประสบการณ์และสัญลักษณ์ต่าง
ๆ มาเชื่อมโยงและต่อมาจะใช้การเรียนรู้มีเทคนิคที่นำมาช่วยเหลือความจำ คือ
การท่องจำ การทบทวน หรือการฝึกหัด และการรวบรวมสิ่งที่เกี่ยวพันกันในเหตุการณ์
ซึ่งจะช่วยให้เขาได้เก็บสะสมความรู้ไว้ในระดับซึ่งสามารถนำมาใช้ได้เมื่อต้องการ
3.กระบวนการแสดงออก
คือการแสดงผลเรียนรู้ด้วยการกระทำคือ การที่เด็กเกิดผลสำเร็จในการเรียนรู้จากตัวแบบต่างๆ
4. กระบวนการจูงใจ
(Motivational
Process)
คือ
กระบวนการเสริมแรงให้กับเด็กเพื่อแสดงพฤติกรรมตามตัวแบบได้ถูกต้อง
โดยเด็กเกิดการเรียนรู้จากการเรียนรู้จากการเลียนแบบตัวแบบที่จะมาจากบุคคลที่มีชื่อเสียงมากกว่าบุคคลที่ไม่มีชื่อเสียง
จากการเลียนแบบตัวแบบที่มาจากบุคคลที่เป็นเพศเดียวกับเด็กมากกว่าจะเป็นเพศตรงข้ามกัน
จากการเลียนแบบตัวแบบที่เป็นรางวัล เช่น เงิน ชื่อเสียง สถานภาพทางเศรษฐกิจสูง
จากพฤติกรรมของบุคคลที่ถูกลงโทษ มีแนวโน้มที่จะไม่ถูกนำมาเลียนแบบ
และจากการที่เด็กได้รับอิทธิพลจากตัวแบบที่มีความคล้ายคลึงกับเด็ก ได้แก่ อายุ
หรือสถานภาพทางสังคม
ทฤษฎีของอัลเบิร์ต
แบนดูรา เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวอย่างไร
คือ เมื่อเด็กเห็นในสิ่งต่างๆที่ไม่เคยเห็น
ไม่ว่าจะเป็นในทีวี ในบ้าน หรือว่านอกบ้าน
สิ่งต่างที่เด็กเห็นนั้นล้วนมีการเคลื่อนไหว แสดงท่าทางต่างๆ
แล้วเมื่อเด็กจะสังเกตุ สมองของเด็กจะมีการจดจำในสิ่งพวกนั้น
แล้วนำมาทำตามหรือเรียกว่า "เลียนแบบ“
จนเกิดเป็นการเคลื่อนไหวตามสิ่งต่างๆ
ทฤษฎีการเคลื่อนไหวด้านสติปัญญา
ทฤษฎีการเรียนรู้ของธอร์นไดค์
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhdlv0FEBGkO7Xe9-vkxuxJ_Nxg7_ak8V0h-JsjyEKHrjn3kZY0foZNb9fbMgmZ0qGjl6IwV9E5xFyC3C4JQZ6184S_O6fpfTJQcUpnNOd887NYZ2k_Xe1e0T94fB3gz606B1Xk4FaFy5n-/s1600/y-149.gif)
1.
กฎแห่งความพร้อม (Law
of Readiness)2.
กฎแห่งการฝึกหัด (Law
of Exercise)
3. กฎแห่งผล (Law of Effects)
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์
เพียเจต์ (Piaget.
1964) อธิบายว่าพัฒนาการทางสติปัญญาของคนมีลักษณะเดียวกันในช่วงอายุเท่ากัน
และแตกต่างกันในช่วงอายุต่างกัน
พัฒนาการทางสติปัญญาเป็นผลจากการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับสิ่งแวดล้อมโดยบุคคลพยายามปรับตัวให้อยู่ในสภาวะสมดุลด้วยการใช้กระบวนการดูดซึมและกระบวนการปรับให้เหมาะสมจนทำให้เกิดการเรียนรู้โดยเริ่มจากการสัมผัส
ต่อมาจึงเกิดความคิด
ทางรูปธรรมและพัฒนาไปเรื่อย
ๆ จนเกิดความคิดที่เป็นนามธรรมซึ่งเป็นการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตามลำดับ
เพียเจต์ถือว่าการให้เด็กได้สัมผัสวัตถุต่างๆ
จะส่งเสริมให้เด็ก
เกิดการเรียนรู้ได้ โดยเฉพาะในเด็กปฐมวัยซึ่งอาศัยการรับรู้
เป็นสื่อในการกระตุ้นทางความคิดของเด็ก จำเป็นต้องให้เด็กได้มีโอกาสเคลื่อนไหว
และสัมผัสสิ่งต่างๆ
ทฤษฎีนี้เป็นประโยชน์ในการจัดเนื้อหา
กิจกรรมทางการเคลื่อนไหว
โดยให้เด็กได้สัมผัสกับวัตถุต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเด็ก
ซึ่งจะช่วยให้เด็กเรียนรู้ในสิ่งใหม่
วันพฤหัสบดี ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2559
วันนี้เรียนปฏิบัติค่ะ เริ่มต้นการเรียนด้วยการดูคลิปวิดีโอ Stop teen mom ที่อาจารย์เปิดให้นักศึกษาดู เป็นความรู้ในการดำเนินชีวิตให้ถูกต้อง
เมื่อพร้อมแล้วก็มาทำการฝึกสมอง เพื่อให้เกิดสมาธิและความจำดีกันก่อนจะเริ่มต้นปฏิบัติวันนี้ค่ะ
เมื่อสมาธิเกิดแล้ว เรามาเริ่มกันเลย >< อาจารย์เปิดเพลงให้นักศึกษาได้ออกมาทำท่าออกกำลังกายของตนเองหน้าชั้นเรียนแล้วให้เพื่อนๆทำตามสลับกันไปจนครบทุกคน
หลังจากเคลื่อนไหวกันไปเบาๆแล้ว อาจารย์ให้นักศึกษาแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4-5 คน คิดท่าออกกำลังกายมากลุ่มละ 10 ท่า โดยเรียงลำดับจากเบาไปหนัก คือ การวอร์มอัพ และการคูลดาวน์ แล้วออกไปนำเสนอหน้าชั้นเรียนโดยครูจะเป็นคนคอยเปิดเพลงประกอบให้ กลุ่มของฉันได้วางแผนดังนี้ มี 5 คนแบ่งกันไป คนละ 2 ท่า เริ่มด้วยเบาๆคือการยืดเหยียด บิด หมุน กระโดดตบไปจนถึงการคลายกล้ามเนื้อ คูลดาวน์ค่ะ
หลังจากที่นำเสนอท่าออกกำลังกายของแต่ละกลุ่มครบเรียบร้อยแล้ว อาจารย์ก็ให้โจทย์ใหม่คือคิดท่าของตนเองไว้คนละ 3 ท่า แล้วออกมานำเสนอหน้าชั้นเรียน โดยสมมติให้เพื่อนเป็นเด็กอนุบาลแล้วเราเป็นครู เราต้องมีการอธิบายขั้นตอนการทำท่าแต่ละท่าให้เด็กเข้าใจ และต้องยิ้มแย้มแจ่มใสมองสบตากบเด็กทุกคน ขณะทำกิจกรรม ต้องคำนึงถึงเด็กเล็กที่ยังไม่รู้จักซ้ายรู้จักขวาด้วย ถ้าหากเราให้เด็กยกแขนซ้ายเราต้องยกแขนขวาให้เด็กดู (ในกรณีที่เรายืนหันหน้าให้เด็ก)
การนำความรู้ไปประยุกต์
- ได้ความรู้เรื่องการจัดประสบการณ์การเคลื่อนไหวและจังหวะสามารถนำไปปรับใช้กับเด็กในอนาคตได้ โดยทำตามขั้นตอน และใช้เทคนิคการสอนได้หลากหลายจัดกิจกรรมได้อย่างถูกต้อง
- นำการเคลื่อนไหวหลายๆแบบไปใช้กับเด็กได้
- การเป็นครูแล้วอยู่หน้าชั้นเรียนต้องยิ้มแย้มแจ่มใสสบตากับเด็กเสมอเพื่อเด็กจะได้มีความรู้สึกว่าครูสนใจเขา
- ได้ความรู้ในเรื่องการคำนึงถึงเด็ก คือการใช้ซ้าย ขวา
- มีเทคนิคการเคลื่อนไหวที่แปลกใหม่ไปประยุกต์ได้
ประเมินผล
ประเมินตนเอง - เข้าใจเนื้อหาการจัดประสบการณ์การเคลื่อนไหว ทำกิจกรรมการเคลื่อนไหวได้ดี ไม่เหนื่อยเหมือนหลายอาทิตย์ที่ผ่านมาอาจเพราะร่างกายแข็งแรงขึ้น 5555
ประเมินเพื่อน - เพื่อนทุกคนตั้งใจเรียน ทำกิจกรรมการเคลื่อนไหวได้ดีมีท่าแปลกใหม่มานำเสนอ
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg31myPWkMAz_VbpafQmkIxK9KRJQrHi-fynf4vRH9EUeIml9UwLpCjvVxBcYnrMgXS7IbAyHieJN2Jc0BQm3WlYqXwGh1tYihuYPtjmsF2SJDC8SJJ4RfnOqtCsMdlsZ_6-g9daz4C0BFz/s1600/211.gif)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น